
knowledge
ความรู้ยอดนิยม
![“ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา” (Intelligence Quotient) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IQ เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล และการเชื่อมโยง จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เด็กปฐมวัยที่มีแนวโน้มพัฒนาการด้านสติปัญญาดี จะมีลักษณะเป็นเด็กช่างสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว รับรู้และบอกรายละเอียดของสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์รอบตัวได้เป็นอย่างดี สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว รู้จักสังเกตุ อยากรู้อยากเห็น ชอบตั้งคำถาม สำรวจ ทดลอง แก้ไขปัญหา มีความคิดเป็นของตัวเอง ความจำดี มีจินตนาการ และต้องการความเป็นอิสระ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเด็กส่วนใหญ่มีลักษณะดังเช่นที่กล่าวมาข้าวต้น เพราะธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีลักษณะที่กระตือรือร้นและสนใจใคร่รู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจและตื่นเต้นสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่า เด็กทุกคนสามารถมีพัฒนาการด้านสติปัญญาที่ดีได้ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ดังนั้นพ่อแม่จึงควรสังเกตอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้สามารถเห็นถึงจุดแข็งที่ซ่อนอยู่ของเด็ก และให้การส่งเสริมเพื่อต่อยอดให้ความสามารถด้านนั้นพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย มีดังนี้ 1. “การลงมือทำ” เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เป็นผู้ลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การมองเห็น การฟังเสียง การสัมผัส การชิมรส และการดมกลิ่น เพราะข้อมูลที่เด็กได้รับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน จะช่วยให้เด็กสามารถจดจำและทำความเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น การทัศนศึกษา การทำงานศิลปะ งานสวน ทำอาหาร 2. “การสื่อสาร” เป็นการส่งเสริมให้ลูกได้มีโอกาสฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อถ่ายทอดข้อมูล และสื่อสารอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกทั้งของตนเองและผู้อื่นในระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การอ่านหนังสือ การแต่งนิทานจากจินตนาการและเล่าเรื่อง 3. “การเชื่อมโยง” เป็นการช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะทางวิชาการที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน เพราะการที่เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง เด็กจะสามารถเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมายที่แท้จริง เช่น การให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับซื้อของในร้านค้า เด็กจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การสังเกตตัวเลขและตัวอักษร โดยอ่านรายการและจำนวนของสิ่งที่ต้องซื้อ อ่านราคาของสินค้า การสังเกตรู้ทรง สีสัน พื้นผิว การเปรียบเทียบความเหมือนและต่างของภาชนะสินค้าต่าง ๆ การจำแนกประเภทของผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ การชั่งน้ำหนัก วัดขนาด ตวงปริมาตรของอาหาร การจดจำทิศทางและคำนวณพื้นที่ของรถเข็นหรือตะกร้ากับสิ่งของที่ต้องซื้อ รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องลักษณะของเงินและของค่าเงิน การบวกและลบราคาสินค้า เงินที่ต้องจ่าย และเงินทอน ที่มา Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning [CASEL]. (2016). Safe and sound: An educational leader’s guide to evidence-based Social and Emotional Learning [SEL] programs. Pennsylvania: Mid-Atlantic Regional Educational Laboratory. ผู้เขียน รังสิรัศม์ วงศ์อุปราช #GeniusXAlpha #BrainSkillDevelopment](https://static.wixstatic.com/media/741899_c4de6a5779c04c9485c8bcb90c725f9f~mv2.jpg/v1/fill/w_306,h_234,al_c,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,enc_auto/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%9A.jpg)

“ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา” (Intelligence Quotient) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IQ เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล...


“ความกล้าแสดงออก” เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเด็กในยุคนี้ เด็กที่มีความกล้าแสดงออก มักจะมองเห็น #โอกาสต่าง ๆ ที่เข้ามา...


ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่มีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับครูอาจารย์ หรือเด็กกับผู้ใหญ่คนอื่น ๆ...


ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในสังคมปัจจุบัน ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการ "ขาดความเอาใจใส่" และ "ขาดการอบรมระเบียบวินัย"...


ทฤษฎีพัฒนาการตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันส่วนใหญ่นำเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์สามารถพัฒนาอารมณ์สุขให้เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย...


ลูกร้องไห้เอาแต่ใจ เป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายคนต้องพบเจอ แต่สิ่งสำคัญคือ แล้วพ่อแม่ต้องรับมืออย่างไรกับเรื่องนี้ ? ควร “ปล่อย”...
ความรู้ที่น่าสนใจ
![“ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา” (Intelligence Quotient) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IQ เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล และการเชื่อมโยง จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เด็กปฐมวัยที่มีแนวโน้มพัฒนาการด้านสติปัญญาดี จะมีลักษณะเป็นเด็กช่างสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว รับรู้และบอกรายละเอียดของสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์รอบตัวได้เป็นอย่างดี สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว รู้จักสังเกตุ อยากรู้อยากเห็น ชอบตั้งคำถาม สำรวจ ทดลอง แก้ไขปัญหา มีความคิดเป็นของตัวเอง ความจำดี มีจินตนาการ และต้องการความเป็นอิสระ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเด็กส่วนใหญ่มีลักษณะดังเช่นที่กล่าวมาข้าวต้น เพราะธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีลักษณะที่กระตือรือร้นและสนใจใคร่รู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจและตื่นเต้นสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่า เด็กทุกคนสามารถมีพัฒนาการด้านสติปัญญาที่ดีได้ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ดังนั้นพ่อแม่จึงควรสังเกตอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้สามารถเห็นถึงจุดแข็งที่ซ่อนอยู่ของเด็ก และให้การส่งเสริมเพื่อต่อยอดให้ความสามารถด้านนั้นพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย มีดังนี้ 1. “การลงมือทำ” เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เป็นผู้ลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การมองเห็น การฟังเสียง การสัมผัส การชิมรส และการดมกลิ่น เพราะข้อมูลที่เด็กได้รับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน จะช่วยให้เด็กสามารถจดจำและทำความเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น การทัศนศึกษา การทำงานศิลปะ งานสวน ทำอาหาร 2. “การสื่อสาร” เป็นการส่งเสริมให้ลูกได้มีโอกาสฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อถ่ายทอดข้อมูล และสื่อสารอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกทั้งของตนเองและผู้อื่นในระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การอ่านหนังสือ การแต่งนิทานจากจินตนาการและเล่าเรื่อง 3. “การเชื่อมโยง” เป็นการช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะทางวิชาการที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน เพราะการที่เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง เด็กจะสามารถเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมายที่แท้จริง เช่น การให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับซื้อของในร้านค้า เด็กจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การสังเกตตัวเลขและตัวอักษร โดยอ่านรายการและจำนวนของสิ่งที่ต้องซื้อ อ่านราคาของสินค้า การสังเกตรู้ทรง สีสัน พื้นผิว การเปรียบเทียบความเหมือนและต่างของภาชนะสินค้าต่าง ๆ การจำแนกประเภทของผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ การชั่งน้ำหนัก วัดขนาด ตวงปริมาตรของอาหาร การจดจำทิศทางและคำนวณพื้นที่ของรถเข็นหรือตะกร้ากับสิ่งของที่ต้องซื้อ รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องลักษณะของเงินและของค่าเงิน การบวกและลบราคาสินค้า เงินที่ต้องจ่าย และเงินทอน ที่มา Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning [CASEL]. (2016). Safe and sound: An educational leader’s guide to evidence-based Social and Emotional Learning [SEL] programs. Pennsylvania: Mid-Atlantic Regional Educational Laboratory. ผู้เขียน รังสิรัศม์ วงศ์อุปราช #GeniusXAlpha #BrainSkillDevelopment](https://static.wixstatic.com/media/741899_c4de6a5779c04c9485c8bcb90c725f9f~mv2.jpg/v1/fill/w_306,h_204,al_c,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,enc_auto/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%9A.jpg)

ในโลกใบนี้นั้นมีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารอยู่มากมายเป็นหลายพันล้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด ภาษากาย หรือภาษาใจ และยังแตกแยกย่อยลงไปในแต่ละเผ่าพันธุ์....
![“ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา” (Intelligence Quotient) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า IQ เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล และการเชื่อมโยง จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เด็กปฐมวัยที่มีแนวโน้มพัฒนาการด้านสติปัญญาดี จะมีลักษณะเป็นเด็กช่างสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว รับรู้และบอกรายละเอียดของสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์รอบตัวได้เป็นอย่างดี สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว รู้จักสังเกตุ อยากรู้อยากเห็น ชอบตั้งคำถาม สำรวจ ทดลอง แก้ไขปัญหา มีความคิดเป็นของตัวเอง ความจำดี มีจินตนาการ และต้องการความเป็นอิสระ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเด็กส่วนใหญ่มีลักษณะดังเช่นที่กล่าวมาข้าวต้น เพราะธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีลักษณะที่กระตือรือร้นและสนใจใคร่รู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจและตื่นเต้นสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่า เด็กทุกคนสามารถมีพัฒนาการด้านสติปัญญาที่ดีได้ หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ดังนั้นพ่อแม่จึงควรสังเกตอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้สามารถเห็นถึงจุดแข็งที่ซ่อนอยู่ของเด็ก และให้การส่งเสริมเพื่อต่อยอดให้ความสามารถด้านนั้นพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย มีดังนี้ 1. “การลงมือทำ” เป็นการจัดกิจกรรมให้เด็กได้เป็นผู้ลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การมองเห็น การฟังเสียง การสัมผัส การชิมรส และการดมกลิ่น เพราะข้อมูลที่เด็กได้รับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน จะช่วยให้เด็กสามารถจดจำและทำความเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น การทัศนศึกษา การทำงานศิลปะ งานสวน ทำอาหาร 2. “การสื่อสาร” เป็นการส่งเสริมให้ลูกได้มีโอกาสฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อถ่ายทอดข้อมูล และสื่อสารอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกทั้งของตนเองและผู้อื่นในระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การอ่านหนังสือ การแต่งนิทานจากจินตนาการและเล่าเรื่อง 3. “การเชื่อมโยง” เป็นการช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะทางวิชาการที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน เพราะการที่เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง เด็กจะสามารถเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมายที่แท้จริง เช่น การให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับซื้อของในร้านค้า เด็กจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การสังเกตตัวเลขและตัวอักษร โดยอ่านรายการและจำนวนของสิ่งที่ต้องซื้อ อ่านราคาของสินค้า การสังเกตรู้ทรง สีสัน พื้นผิว การเปรียบเทียบความเหมือนและต่างของภาชนะสินค้าต่าง ๆ การจำแนกประเภทของผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ การชั่งน้ำหนัก วัดขนาด ตวงปริมาตรของอาหาร การจดจำทิศทางและคำนวณพื้นที่ของรถเข็นหรือตะกร้ากับสิ่งของที่ต้องซื้อ รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องลักษณะของเงินและของค่าเงิน การบวกและลบราคาสินค้า เงินที่ต้องจ่าย และเงินทอน ที่มา Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning [CASEL]. (2016). Safe and sound: An educational leader’s guide to evidence-based Social and Emotional Learning [SEL] programs. Pennsylvania: Mid-Atlantic Regional Educational Laboratory. ผู้เขียน รังสิรัศม์ วงศ์อุปราช #GeniusXAlpha #BrainSkillDevelopment](https://static.wixstatic.com/media/741899_c4de6a5779c04c9485c8bcb90c725f9f~mv2.jpg/v1/fill/w_306,h_204,al_c,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,enc_auto/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%9A.jpg)

เด็กในปัจจุบันควรมีทักษะด้านไหนบ้าง ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและไปสู่ความสำเร็จได้...
ทักษะสมอง


ในโลกใบนี้นั้นมีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารอยู่มากมายเป็นหลายพันล้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด ภาษากาย หรือภาษาใจ และยังแตกแยกย่อยลงไปในแต่ละเผ่าพันธุ์....


ทฤษฎีพัฒนาการตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันส่วนใหญ่นำเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์สามารถพัฒนาอารมณ์สุขให้เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย...
พัฒนาพ่อแม่


ทฤษฎีพัฒนาการตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันส่วนใหญ่นำเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์สามารถพัฒนาอารมณ์สุขให้เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย...


“ความกล้าแสดงออก” เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเด็กในยุคนี้ เด็กที่มีความกล้าแสดงออก มักจะมองเห็น #โอกาสต่าง ๆ ที่เข้ามา...


ทุกคนอาจเคยได้ยินกันดีว่า “วิชา คือ อาวุธ” พ่อแม่จึงอยากให้ลูกได้เรียนมาก ๆ เพื่อให้มีความรู้ติดตัว เมื่อลูกโตขึ้นในวันข้างหน้าจะได้มีควา...


การที่เด็กจะ “เติบโต” ได้อย่าง “มีประสิทธิภาพ” ต้องอาศัยการฝึกทักษะหรือความสามารถในหลายด้าน ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือ “ความเป็นผู้นำ”...


พ่อแม่ทุกคนย่อม “ปรารถนาดี” และต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก แต่บางครั้ง "สิ่งที่ดีที่สุด" ที่พ่อแม่พยายามมอบให้กับลูกนั้น...